ความคิดสร้างสรรค์มาจากไหนได้บ้าง
ความคิดสร้างสรรค์คือการเชื่อมโยงสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันให้เข้ามาเกี่ยวข้องกัน หรือขยายความเกี่ยวข้องนั้นให้กว้างไกลยิ่งขึ้น หรืออาจพูดว่าอาจเป็นการมองสิ่งหนึ่งในอีกมุมมองหนึ่ง เมื่อทำแล้วก็จะได้สิ่งใหม่ที่ดีกว่า หรือได้สิ่งใหม่ที่เสริมสิ่งเดิมให้มีค่ามากขึ้น วันนี้ก็เอามาให้เป็นหลักยึดสัก 6 ข้อที่อาจนำไปใช้ได้ในการทำงานประจำวันของหัวหน้างาน ท่านว่าลองเชื่อและปฏิบัติตามนี้ดูครับ..
1. อย่าคิดว่าหนทางที่ถูกมีเพียงวิธีเดียว
ไม่ว่าปัญหา หรือการหาทางออกของการทำงานใดๆ อย่าคิดว่ามันมีเพียงวิธีเดียว เมื่อไม่สามารถทำได้ตามนั้นก็มานั่งติดตันอยู่ แต่ต้องมองว่ามันคงมีทางอื่นอีกซีน่า คิดออกไปเรื่อยๆ ความเชื่อบวกกับการคิดอยู่เรื่อยๆก็ย่อมจะมองเห็นหนทางมากขึ้น
2. อย่าติดอยู่กับรูปแบบและประสบการณ์ดั้งเดิม
ต้องคิดปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ คงจำได้ สมัยก่อนนั้นตรา(ญี่ห้อ)ของเสื้อต้องอยู่ด้านในของปกเสื้อ และเป็นอย่างนั้นมานาน จะรู้ว่าเป็นตราอะไรก็ต้องรู้กันในหมู่ผู้ที่ใช้เสื้อญี่ห้อนั้นๆ ว่าให้สังเกตที่ปกบ้าง ให้สังเกตที่การเย็บกระดุมบ้าง แล้ววันดีคืนดีมีเสื้อของบริษัทหนึ่งเอาตราของเสื้อไว้นอกเสื้อ ที่ปกด้านนอกบ้าง ที่ด้านล่างของไหล่บ้างก็มีการทำอย่างนั้นออกมาเอาอย่างกันจนเป็นของธรรมดาไป หรืออย่างแปรงสีฟัน ตั้งแต่รูปแบบดั้งเดิมคือด้ามตรง ขนแปรงตรง ต่อมาก็มีการแตกหน่อออกไปที่ขนแปรงมีมากมายหลายลักษณะ แตกหน่อไปที่ด้ามก็ออกมาสารพัดรูปแบบ เพื่อให้ของตนเองแตกต่างกว่าและ (ให้เชื่อว่า) ดีกว่า ดังนั้นท่านหัวหน้างานครับ งานของท่านอาจมีรูปแบบที่ดีกว่านี้ก็ได้ลองคิดกันดูนะครับ
3. อย่ากลัวความผิดพลาด
อย่ากลัวว่าคนอื่นจะหาว่าโง่ คนคิดอะไรใหม่ๆ อาจ ถูกมองว่าเฟื่อง ไม่ต้องกลัว คิดไปเถอะ บางทีความคิดที่ถูกมองว่าเฟื่องนั่นนะกลับเป็นสิ่งที่ ถูกต้องก็ได้ ท่านที่อายุในช่วง 50-60 ปี คงจำภาพยนตร์เรื่องใต้ทะเล 20,000 โยชน์ ได้ คนเขียนหนังสือเรื่องนี้เป็นชาวฝรั่งเศส บอกว่ามีเรือดำน้ำลำหนึ่งดำน้ำได้นานมาก เขาให้ชื่อเรื่อว่า "นอติลุส" สมัยที่นักเขียนท่านนั้นเขียนหนังสือ อย่าว่าเรือดำน้ำเหล็กเลยหรือบนน้ำที่ทำด้วยเหล็กก็เก่งเหลือเกินแล้ว ก็มีการพูดกันว่านักเขียนท่านนี้เฟื่องไปแล้ว ต่อมาไม่กี่ทศวรรษปรากฏว่ามีเรือดำน้ำของอเมริกาที่มีสมรรถนะอย่างนั้นทุกประการเป็นเรือพลังงานนิวเคลียร์ แล้วก็ได้รับการตั้งชื่อว่า "นอติลุส" (NAUTILUS) เช่นกัน มีการพูดกันว่าอีกสัก 80-100 ปี การขึ้น ไปในอวกาศไม่ต้องใช้กระสวยอวกาศหรอก เขาขึ้นโดยลิฟท์ใครไม่เชื่ออยู่ต่อซิครับ อย่าเพิ่งเลิกหายใจ แล้วอาจะได้เห็น
4. ใช้คำถามอย่างฉลาดและแยบยล
ก็คำถามที่เรามีอยู่นี่แหละครับ.....อะไร.... เมื่อไหร่....ที่ไหน...อย่างไร...ใคร...แล้วถามต่อด้วยคำถามสุดท้ายว่า "ทำไมไม่..." ตัวอย่าง "ทำงานนี้อย่างไร" ก็ตอบไปว่า "ทำอย่างนี้แหละ" ถามต่อไปว่า "ทำไมไม่ทำวิธีการอื่นบ้างละ" ถ้าคำตอบที่ได้รับเป็นคำตอบตายตัว ฟังขึ้นก็แปลว่าโอ.เค. แต่ถ้าคำตอบไม่แน่ชัด หรืออาจมีคำตอบอื่นอีกก็แปลว่าพัฒนาให้เป็นสิ่งใหม่ได้ "ทำไมด้ามแปรงสีฟันต้องเป็น ด้ามตรงๆ " คำตอบก็คือ "ไม่รู้..ก็เห็นใครต่อใครเขาออกมาขายอย่างนั้น" ในกรณีนี้จะ เห็นได้ว่าคำตอบที่ได้รับไม่ตายตัว ไม่เด่นชัด ก็แปลว่าเราออกแปรงสีฟันตราใหม่ที่มี ด้ามหักงอได้
5. อย่าติดอยู่กับประสบการณ์ของตนเองให้มากนัก
เรื่องการยึดติดนะมีแน่แต่อย่าให้มากนัก เคยมีการให้ผู้เข้าสัมมนาต่อคำจากคำที่ยกมา เช่นยกคำว่า "ซอง" แล้วช่วยต่อให้มีความหมายซีว่าเป็นอะไร ก็ออกมามาก เช่นซองจดหมาย....ซองบุหรี่.....ซองปืน.....ท่านว่า คนที่ตอบต่างกันอย่างนี้มีอะไรอยู่ที่เป็นประสบการณ์ เอ้า..แล้วต่อคำว่า "แสง...." ซิครับ หลายท่านตอบออกมาว่าแสงเทียน แสงจันทร์ แสงอาทิตย์ แล้วโน่น คนนั่งหลังสุดหน้าแดงก่ำก็ตอบว่า "แสงโสม" แน่นอนว่าประสบการณ์ย่อมติดออกมา การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์นั้น ท่านต้องไม่ติดกับประสบการณ์ให้มากนักเพราะจะคิดอะไรไม่ออก
6. มองทุกอย่างให้เป็นระบบ
แปลว่าท่านต้องมองว่าอะไรที่เข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้บ้างทั้งส่วนที่เป็นตัวประกอบ หรือปัจจัย และมีอะไรบ้างที่อยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการหรือเป็นตัวกระบวนการ และมีอะไรที่เป็นผลออกมาจากการทำงานนั้น หรือเรียกว่าผลผลิต แล้วเราก็ เข้าไปดูทีละตัว ถ้ากาแฟไม่อร่อย ตัวปัจจัยก็มีตัวกาแฟ นมเนย น้ำตาล ถ้วยกาแฟ (คนชงน่า จะไม่เกี่ยวนะครับ) วิธีการชงเป็นอย่างไร เอาน้ำตาลละลายกับน้ำก่อน เติมนมเป็นนมหวาน แล้วค่อยเติมกาแฟ อย่างนี้ดีไหม ในที่สุดเราก็จะพบว่ามีบางอย่างที่ทำให้กาแฟอร่อยขึ้นก็เลย ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ คือครีมที่ใส่ให้กาแฟมีรสหอม มันและอร่อยขึ้นโดยไม่มีกลิ่นและไม่ทำ ให้เพิ่มแกลอรี่ (นี่ก็ไปซื้อกาแฟที่บดแล้วของร้านกาแฟดังที่สุด ไปถามวิธีการชง ชื้อเครื่องปรุงมาครบ แต่มันก็ไม่อร่อยเท่าไปกินที่ร้าน มานึกว่า “อ้อ...เราไม่มีเครื่องชงนี่เอง ซื้อไม่ไหวครับราคามันสูงเหลือเกิน ขืนซื้อเครื่องชงกาแฟมา สงสัยจะเป็นโรคขาดอาหาร)
ที่มา : www.thaitrainingzone.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น