เทคนิคการพัฒนาตนสำหรับคนหางาน
การคัดเลือกคนเข้าทำงานในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต เริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการคัดเลือกคนเข้าทำงาน ถือเป็นด่านแรกและด่านสำคัญ ที่จะบ่งชี้การคัดเลือกคนในครั้งนั้น องค์กรจะได้กำไรหรือขาดทุน ถ้าได้คนเก่งคนดีและอยู่ได้นาน แสดงว่าได้กำไร แต่ถ้าได้คนไม่เก่ง ไม่ดีและอยู่กับองค์กรนานไม่ยอมไปไหน แสดงว่ามีแต่ขาดทุนกับขาดทุน การที่ได้คนไม่เก่งไม่ดีเข้ามาทำงาน นอกจากจะไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้แล้ว ยังจะสร้างภาระให้กับองค์กรเพิ่มมากขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็นต้นทุน ศักยภาพของการแข่งขัน การเป็นตัวถ่วงความเจริญ และปัญหาสารพัดที่จะติดตามมา
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลายๆ องค์กรจึงให้ความสำคัญกับการคัดเลือกคนมากขึ้น มีการใช้เครื่องมือต่างๆ เข้ามาช่วยในการทดสอบและคัดเลือก เพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานที่ต้องการให้มากที่สุด ข้อดีก็คือ องค์กรจะได้คนที่ต้องการเข้ามาทำงาน ข้อเสียก็คือ เพิ่มความยากลำบากให้กับคนหางานมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ตกงาน คนที่จบมาใหม่ๆ ส่วนคนที่มีงานทำอยู่แล้วคงไม่มีปัญหามากนัก เพราะถ้ายังไม่ได้งานก็ยังสามารถทำงานกับที่ทำงานปัจจุบันต่อไปได้
ตลาดแรงงานในปัจจุบัน หลายองค์กรต้องการบุคลากรเข้าร่วมงานมาก แต่ทำไมหลายคนในตลาดยังไม่มีงานทำ ทั้งๆ ที่คุณสมบัติก็ตรงตามที่องค์กรต้องการ สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่คนหางานประสบอยู่ก็คือ ไม่ทราบว่าต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง จึงจะเข้าตากรรมการ (สัมภาษณ์)
เพื่อให้ผู้ที่กำลังหางานมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น ว่าการหางานไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย แต่เรื่องที่ยากคือ เราจะพัฒนาศักยภาพของตัวเราเอง ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานได้อย่างไร ผมจึงขอแนะนำเทคนิคบางอย่างที่น่าจะนำไปใช้ได้ เช่น
ติดตามข่าวสาร
ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารในด้านธุรกิจ หรือข่าวสารในด้านอื่นๆ เพื่อให้เรามีความรู้ที่ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ความรู้เหล่านี้ นอกจากจะใช้เป็นความรู้ทั่วไปแล้ว เราสามารถทราบความเคลื่อนไหวในเชิงการบริหารจัดการขององค์กรต่างๆ ได้ ซึ่งเราสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ มาพัฒนาตัวเองให้สอดคล้องกับทิศทางการบริหารสมัยใหม่ได้มากยิ่งขึ้น เช่น ถ้าเราทราบว่าแนวโน้มขององค์กรส่วนใหญ่ จะให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีสารสนเทศ ไม่ว่าจะเป็น Internet หรือ e-commerce ก็ตาม เราก็สามารถนำสิ่งเหล่านี้ มาใช้ในการพัฒนาตัวเองไปก่อน ก่อนที่จะเข้าไปทำงานในองค์กรจริง
อ่านคู่มือการสัมภาษณ์
ผมอยากแนะนำให้ผู้หางาน อ่านหนังสือคู่มือสำหรับผู้สัมภาษณ์ ไม่ใช่คู่มือสำหรับผู้ถูกสัมภาษณ์ เพราะจะได้เข้าใจว่า คำถามแต่ละคำถาม ผู้สัมภาษณ์ถามเพื่ออะไร ไม่ใช่รู้เพียงแต่จะตอบอย่างไร หรือถ้าให้ดี ควรอ่านทั้งคู่มือสำหรับผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์ การอ่านคู่มือนี้ จะช่วยให้เราเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของการสอบสัมภาษณ์ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตรงกับคำพังเพยที่ว่า “รู้เขา รู้เรา สัมภาษณ์หลายครั้งน่าจะได้บ้างสักครั้ง” นะครับ
ประกาศตัวเอง
การหางานสมัยนี้จะต้องหางานในเชิงรุกมากขึ้น เรามัวแต่รีๆ รอๆ ให้บริษัทเขาถือเทียบเชิญมารับถึงบ้าน คงจะยากแล้วนะครับ ให้คิดเสมอว่า การหางานคือการทำงานอย่างหนึ่ง ถ้าเราทำงานนี้ไม่สำเร็จ อย่าหวังเลยว่าเราจะทำงานอย่างอื่นที่ยากกว่านี้ได้ ตัวเราก็เปรียบเสมือนสินค้าอย่างหนึ่ง ถึงแม้จะมีคุณภาพดี แต่ถ้าผู้ซื้อไม่รู้จัก เขาก็ไม่ซื้อ
ดังนั้น เราจะต้องเปิดตัวเองให้มากขึ้น ส่งประวัติไปทุกที่ที่มีช่องทาง ทำความรู้จักกับคนทุกคนที่มีโอกาส พยายามเข้าไปมีส่วนร่วมกับสังคมต่างๆ เพราะยิ่งเรามีสังคมมากเท่าไหร่ โอกาสในการได้งานทำก็มีมากขึ้นเท่านั้น กิจกรรมไหนที่ไม่ต้องเสียกะตังค์ก็รีบเข้าไปร่วม กิจกรรมไหนที่เสียตังค์ ก็ดูว่าเรามีกำลังหรือไม่ ถ้าเป็นคนที่จบใหม่ๆ ควรจะหาโอกาสอันดี ที่จะเข้าไปพบปะและร่วมกิจกรรมทางสังคม ที่มีผู้หลักผู้ใหญ่และผู้บริหารในวงการธุรกิจ ผู้บริหารในหลายองค์กรใช้วิธีหาดาวรุ่งจากกิจกรรมทางสังคม เพราะไม่ต้องเสียเวลาไปสัมภาษณ์ให้เมื่อย เขาสามารถดูความสามารถของเรา จากการเข้าร่วมกิจกรรมจริงๆ ได้
การเข้าสังคมในลักษณะนี้ เราไม่ควรหวังว่าเราจะต้องได้งานเสมอ แต่สิ่งที่เราได้แน่ๆ คือประสบการณ์ชีวิต การเรียนรู้ภาษาในแวดวงธุรกิจและโอกาสในการพัฒนาตัวเอง
ทำงาน Part -Time ไปก่อน
คนที่จบมาใหม่ๆ ที่เริ่มท้อแท้กับการหางาน ขอให้ลดระดับความคาดหวังของตัวเองลง จากที่ต้องการทำงานประจำกับบริษัทชั้นนำ ลงมาสู่การเป็นลูกจ้างชั่วคราว หรือลูกจ้างของบริษัทรับเหมา ที่รับเหมาแรงงานให้กับบริษัทชั้นนำ เพราะสิ่งสำคัญที่เราหางานไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเราไม่เก่ง แต่เราไม่มีประสบการณ์ต่างหาก การเข้าไปทำงาน Part – Time ถือเป็นวิธีแก้ที่ถูกจุด เพราะเป็นช่องทางที่เราสามารถปิดจุดอ่อน ที่เกี่ยวกับประสบการณ์ทำงานได้ และในสมัยนี้ค่าตอบแทนของงาน Part – Time ไม่ได้ต่ำนะครับ เผลอๆ บางครั้งค่าจ้างอาจจะสูงกว่างานประจำก็ได้ เพราะเขาถือว่าเป็นเพียงงานชั่วคราวหาคนยาก จึงต้องจ้างสูงกว่าปกติ หลายคนพอทำงานลักษณะนี้ไปนานๆ กลับไม่อยากไปทำงานประจำ เพราะรับงานชั่วคราวเป็นอาชีพ มีบริษัทต่างๆ ติดต่อเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ไม่เคยว่างงาน แถมรายได้ดีและงานไม่น่าเบื่อ เพราะเปลี่ยนที่ทำงานอยู่เรื่อยๆ
เปลี่ยนเวลาว่างให้เป็นโอกาสเพื่อพัฒนาตัวเอง
ใครที่ว่างงานอยู่ขอให้คิดเสียว่า เรามีโอกาสเรื่องเวลาดีกว่าคนที่ทำงานอยู่ อย่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ใช้เวลาว่างพบปะผู้คน ท่องอินเตอร์เน็ต อ่านหนังสือเพิ่มเติม บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เราต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่า “ความคิดเราไม่ว่างงาน” เราจะต้องหางานให้กับความคิดของเราอยู่ตลอดเวลา การได้งานทำถือเป็นเพียงหนึ่งกิจกรรมที่ใช้ในการพัฒนาความคิด ถ้าเราพัฒนาศักยภาพทางความคิดถึงระดับหนึ่งแล้ว เราอาจจะไม่จำเป็นต้องหางาน แต่เราสามารถสร้างงานด้วยตัวของเราเองได้ มีหลายคนที่นั่งอยู่เฉยๆ แต่เกิดความคิดบางอย่างที่จะสร้างงานให้กับตัวเอง จนร่ำรวยกันมามากแล้ว
ดังนั้น ผมอยากให้กำลังใจกับคนที่กำลังหางานอยู่ว่า ไม่เคยมีใครตกงานตลอดชีวิต ถ้าเราตั้งใจ มุ่งมั่น สร้างสรรค์และพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่โอกาสของแต่ละคน อาจจะแตกต่างกันบ้างเท่านั้นเอง บางคนได้งานเร็ว บางคนได้งานช้า บางคนได้งานดี บางคนได้งานไม่ดี บางคนได้งานแล้วตกงาน บางคนได้งานแล้วได้ตลอด ชีวิตเอาแน่ไม่ได้ แต่สิ่งที่เอาแน่ได้แน่ๆ คือคนเราต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพราะความสำเร็จในชีวิตขึ้นอยู่กับสองปัจจัยคือ “โอกาส” และ “ความสามารถ” คนที่มีความสามารถแต่ขาดโอกาส ยังไม่น่าเสียใจเท่าคนที่มีโอกาสแต่ขาดความสามารถนะครับ
แล้วท่านล่ะจะเลือกเป็นคนประเภทไหน?
ที่มา : www.e-hrit.com
ที่มา : www.e-hrit.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น