เครื่องมือการประเมิน Competency ของผู้สมัคร?
ถ้ามองในแง่ของสื่อของคนในสังคมออนไลน์แล้ว Facebook ถือเป็นหนึ่งทางเลือกที่ดีทางเลือก หนึ่งในการติดต่อสื่อสาร การสร้างเครือข่าย การเรียนรู้ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การระบายอารมณ์ การเปิดเผยตัวตนให้คนอื่นรู้จัก การเชื่อมโยงเครือข่ายมิตรภาพตั้งแต่ระดับเพื่อนร่วมสังคมออนไลน์ ที่สนใจเรื่องบางเรื่องเหมือนกัน จบจากสถาบันเดียวกัน เคยทำงานองค์กรเดียวกัน ฯลฯ จนพัฒนาไปสู่มิตรภาพของเพื่อนสนิทหรือกลายเป็นเพื่อนคู่ชีวิตกันไปแล้วก็มี
ในฐานะที่ผมเคยทำงานด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์มาก่อน จึงคิดว่าคนทำงานด้าน HR น่าจะใช้ Facebook ให้เป็นประโยชน์ในการทำงานได้มากกว่าแค่การประกาศรับสมัครงานหรือโพสต์ ลิงก์ไปยังเว็บสมัครงานของบริษัทฯ และเท่าที่ได้อ่านสิ่งที่คนใน FB เขียนพบว่ามีหลายประเด็นที่น่าจะนำมาใช้ประโยชน์ ในการคัดเลือกบุคลากรได้ โดยเฉพาะการประเมินสิ่งที่ไม่ใช่ความรู้และทักษะในงานแต่เป็นสิ่งที่แสดงออกถึง
- นิสัยใจคอ
- บุคลิกลักษณะ
- ความเชื่อ
- วิธีคิด
- ทัศนคติ
- สังคม
ผมคิดว่าเราน่าจะนำมาประกอบการพิจารณาเพื่อคัดเลือกคนเข้าทำงานได้บ้าง เช่น
ดูจากรูปประจำตัว
รูปประจำตัวของคนน่าจะบอกอะไรบางอย่างได้ เหมือนกันว่าเขาเป็นคนแบบไหน เช่น คนที่เลือกรูปการ์ตูนหรือรูปกราฟิก น่าจะเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบเปิดเผยตัวเองกับสังคม อาจจะเกรงว่ามีคนบางคนที่รู้จักมาเห็น หรือไม่ก็เป็นพวกที่ต้องทำทุกอย่างต้องดูดีไว้ก่อน ถ้าคิดว่ายังไม่ดีจะยังไม่ทำ สำหรับคนที่เอารูปตัวเองที่ทำท่าทางแปลก ๆ มาเป็นรูปประจำตัวจะ ตีความว่าเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ เปิดเผย กล้าแสดงออก ตรงไปตรงมา เป็นคนที่ไม่ค่อย ชอบอะไรที่เป็นระบบก็ได้ คนที่ชอบเปลี่ยนรูปประจำตัวของตัวเองบ่อย อาจจะตีความได้ว่า เป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรซ้ำๆ เหมือนเดิม ชอบเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่ตลอดเวลา หรือหากจะตี ความว่าเป็นคนไม่อดทนเบื่อง่ายก็ได้
ดูจากสิ่งที่เขียน
น่าจะแสดงให้เห็นถึงความเชื่อ วิธีคิด ภาวะความเป็นผู้ใหญ่ได้เหมือนกัน เพราะหากคน ที่มีความคิดไตร่ตรองดี ๆ ก็ไม่ควรเอา ความคิดความรู้สึกทั้งหมดลงมาเขียน อาจจะต้องจัด ประเภทว่าเรื่องนี้ควรจะเขียนเก็บไว้เป็นการส่วนตัว เรื่องนี้เปิดเผยได้เฉพาะคนที่สนิท เรื่อง นี้เผยแพร่ต่อสาธารณะได้ คนบางคนไม่เขียนอะไรที่ทำให้ตัวเองดูไม่ดี แต่บางทีพอคนอื่น เขียนมากระตุ้นจุดบางจุดอาจจะทำให้ลืมตัวเขียนอะไรที่เป็นตัวตนที่แท้จริง ออกมาก็ได้ ถ้าต้องการดูว่าคน ๆ นั้นมีตัวตนเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็อาจจะดูว่าลักษณะการเขียนในหน้า เฟซบุ๊คของตัวเองเทียบกับการเขียน ในเฟซบุ๊คของเพื่อนแต่ละกลุ่ม ก็พอจะมองเห็นว่า คน ๆ นั้นมีกี่บุคลิก
ดูจากสิ่งที่เคยอื่นเขียนถึง
น่าจะช่วยให้มองภาพคน ๆ นั้นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าเขาเป็นคนแบบไหน จากสิ่งที่คน ที่รู้จักเขาเขียนถึง เพราะคนที่เขียนถึงเขามักจะเขียนสิ่งที่เป็นเรื่องจริงไม่ค่อยมีใครสร้างเรื่อง ขึ้นมา อาจจะดูว่าเพื่อน ๆ ที่รู้จักเขาเขียนถึงเขาเป็นไปในโทนเดียวกันหรือไม่ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นอย่างไร เขาวางตัวกับคนแต่ละกลุ่มอย่างไรบ้าง เพื่อน ๆ เขียนถึงเขา เรื่องตัวตนมากกว่าหรือเรื่องความสามารถมากกว่า
ดูจากอัลบั้มรูปภาพ
สามารถนำมาพิจารณาประกอบได้ว่าการดำเนินชีวิตของคน ๆ นั้นเป็นอย่างไร ชอบท่องเที่ยว ชอบเดินทาง ชอบกิจกรรมอะไร เพื่อนำมาตีความว่าคนที่ชอบทำสิ่งนั้นสิ่งนี้โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีนิสัย ใจคอแบบไหน รูปที่เอาลงแสดงให้เห็นว่าคน ๆ นั้นชอบรูปประเภทไหนมากกว่ากัน หากชอบลงแต่ รูปอดีตแสดงว่าปัจจุบันไม่ค่อยมีความสำเร็จที่สำคัญไปกว่าภาพในอดีต บางคนลงแต่รูปสวย ๆ ในขณะที่บางคนลงรูปตัวเอง บางคนลงรูปครอบครัว บางคนเน้นลงรูปเพื่อน
ดูจากเพื่อนที่คบ
ถ้าอยากจะรู้คน ๆ นั้นเป็นคนแบบไหน ชอบการเมืองพรรคไหน ชอบทำกิจกรรมอะไร มีสังคมแบบการอัพเดทการใช้ฟังก์ชั่นใหม่ ๆ ในเฟซบุ๊คได้ คนบางคนเข้ามาแค่อ่านอย่างเดียว เวลาผ่านไปกี่วันกี่เดือนหน้าตาหน้าแรกเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ในขณะที่คนบางคนเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง เฟซบุ๊คมีฟังก์ชั่นหรือเครื่องมืออะไรใหม่ ๆ ออกมาเขาจะเป็นคนแรก ๆ ที่ใช้ก่อนและ เผยแพร่หรือแนะนำ คนอื่นให้ใช้อีกต่างหาก
เนื่องจากการตั้งชื่อในเฟซบุ๊คบางคนไม่ได้ใช้ชื่อจริงนามสกุลจริง แต่เรื่องนี้ไม่น่าเป็นปัญหาใหญ่ เพราะมีหลายเรื่องที่เขาเปิดเผยโดยไม่รู้ตัว เช่น จบจากสถาบันไหน เป็นคนจังหวัดไหน เคยทำงานที่ไหน อยู่กลุ่มหรือชมรมไหน ชอบอะไร ฯลฯ เราสามารถค้นหาได้จากหลายทางร่วมกันก็ได้ เช่น ค้นหาจาก google แล้วลิงค์มาที่เฟซบุ๊คหรือค้นหาจากอีเมลแอดเดรสเพื่อเชื่อมต่อมายังเฟซบุ๊คก็ได้ พูดง่าย ๆ ว่าการค้นหาข้อมูล ผู้สมัครในเเฟซบุ๊คไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเรามีข้อมูลที่เขาให้ไว้ใน ประวัติย่อหรือใบสมัครมากพอที่จะค้นหาได้ยกเว้นผู้สมัครคนนั้นไม่ได้เล่น เฟซบุ๊ค
สรุปทั้งหมดนี้เป็นเพียงแนวคิดและตัวอย่างในการนำเอาสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้มาประยุกต์ใช้กับการบริหารบุคลากรในองค์กรเท่านั้น ส่วนองค์กรไหนจะได้ประโยชน์มากน้อยหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับการทดลองนำไปใช้ดูก่อน ถ้าใช้แล้วไม่ได้ผลก็ไม่ต้องใช้ต่อไม่ได้เสียหายอะไร หากใช้แล้วคิดว่ามีประโยชน์ก็ถือว่า คุ้มค่าเพราะไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย แค่เรียนรู้และนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละองค์กร แต่โดยส่วนตัว ผมคิดว่าเฟซบุ๊คน่าจะช่วยเสริมให้การสัมภาษณ์และการตรวจสอบพฤติกรรมของ ผู้สมัครจากบุคคลที่เขาอ้างอิงได้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นนะครับ
ที่มา : อาจารย์ณรงค์วิทย์ แสนทอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น